กรณีศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติออกหมายจับ นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ขวบ ตามหมายจับที่ 53/2564 ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2564 ข้อหาพรากผู้เยาว์ ทอดทิ้งเด็กให้ถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพที่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่สนใจของสังคมขึ้นมาอีกครั้ง

ต่อมา  ลุงพล พร้อมป้าแต๋น ภรรยา เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้ามอบตัว ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาลุงพล ก่อนใส่กุญแจมือ ควบคุมตัวไปทำบันทึกการขอมอบตัวที่ สน.ปทุมวัน เพื่อสอบสวน โดยตำรวจลุงพลนำตัวขึ้นรถกระบะออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นคุมตัวไปยัง สภ.กกตูม พื้นที่เกิดเหตุ เพื่อสอบสวน และคุมตัวเข้าห้อง รอนำตัวส่งฟ้องศาล

"เดลินิวส์ออนไลน์" ขอย้อนเส้นทางการสอบสวนของตำรวจจนได้หลักฐานต่างๆ มัดตัวนำไปสู่การจับกุม "ลุงพล" 

เรื่องราวเริ่มต้นในวันที่ "น้องชมพู่" หายตัวไป "น้องสะดิ้ง" พี่สาววัย 14 ปี พบเห็นเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนพ่อและแม่ตอนนั้นออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครพบเห็น ชาวบ้านช่วยกันออกค้นหา เชื่อว่า "น้องชมพู่" ไม่มีทางเดินหลงป่าไปไหนได้ไกล แต่ละเส้นทางกว่าจะเข้าไปพบศพได้ในอีกหลายวันต่อมา ไม่มีใครพบเห็นน้องชมพู่เดินผ่าน มีเพียงเส้นทางเดียวที่ผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน มีพยานบุคคล 2 คนให้การว่าเห็น "ลุงพล" เดินออกมาช่วง 9 โมงเศษๆ

สอบสวนทราบว่า อุปนิสัยของ "น้องชมพู่" หากมีคนแปลกหน้ามาอุ้มจะร้องโวยวาย แต่ช่วงหายตัวไป พยานที่อยู่แถวนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง จึงเชื่อว่าคนที่พาตัวไปต้องเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกับ "น้องชมพู่"  สามารถเข้าถึงตัวได้ ประกอบด้วยคนใกล้ชิด 10 คน

จากการตรวจสอบพยานบุคคลและพยานหลักฐานข้อมูลอื่น ในช่วงเกิดเหตุไม่มีบุคคลที่ "น้องชมพู่" ไว้ใจอยู่ใกล้เคียง รวมถึงเส้นทางเข้าไปยังเขาภูเหล็กไฟ เกือบทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ได้ชัดเจน ยกเว้น "ลุงพล"  ที่มีพยานบุคคลระบุว่าพบอยู่ในเส้นทางที่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้

หลังจาก "น้องชมพู่" หายตัวไป "ลุงพล" ขับรถไปรับพระวัดภูผาแอก ไปส่งที่สถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด และพูดคุยกับพระที่เป็นพยานในเวลาต่อมาว่า "หลานหายตัวไป" แต่ข้อเท็จจริง ยังไม่มีใครในละแวกนั้น บอก "ลุงพล" เลยว่า "น้องชมพู่" หายตัวไป ในส่วนการสอบสวนช่วงเวลา 14.30-16.00 น. วันที่ 11 พ.ค. 63 ลุงพลอยู่ที่ไหน ปรากฏว่า "ลุงพล" บอกไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งกลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า "ลุงพล" ได้พบกับพยาน 2 ปาก บริเวณร่องน้ำบนเขาภูเหล็กไฟ เป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้าน ท่าทางมีพิรุธ

ทางด้านการตรวจศพของแพทย์นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สันนิษฐานเวลาเสียชีวิตของ "น้องชมพู่" ยืนยันได้ชัดเจนว่า ขณะที่ถูกทิ้งไว้จุดแรกบริเวณท้ายหมู่บ้าน ก่อนทางขึ้นภูเหล็กไฟยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปบนจุดพบศพ สอดคล้องกับผลตรวจของนักโภชนาการ ระบุ สภาพร่างกายของ "น้องชมพู่" หากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงย่อมถึงแก่ความตายได้ โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์สำนักพิสูจน์หลักฐาน จ.มุกดาหาร เก็บวัตถุพยานได้หลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือเส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของ "ลุงพล" และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ ต่อมาตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จที่สรุปว่า "ลุงพล" มีพิรุธในการตอบคำถาม

จากพยานหลักฐานทั้งหมดทำให้เชื่อได้ว่า "ลุงพล" จะนำตัวน้องชมพู่ไปและมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิงแล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึก ที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเชื่อว่าเป็นเรื่องฆาตกรรม ล่วงละเมิดทางเพศโดยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผมจงใจให้ดูคล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำเขมร หวังเบี่ยงเบนให้พุ่งเป้าไปที่ผู้ขัดแย้งกับพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม เสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับ

ขอขอบคุณที่มาข้อมูล
https://www.dailynews.co.th/crime/847416