ตร.แถลงคดีน้องชมพู่ เปิดที่มาพยานหลักฐานออกหมายจับ สรุป 3 ประเด็น เพื่ออำพรางคดี



ตร.แถลงคดีน้องชมพู่ เปิดที่มาพยานหลักฐานออกหมายจับ ระบุใครทำผิดต้องรับโทษ สรุป 3 ประเด็น เพื่ออำพรางคดี เป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ เพื่อให้ความผิดพ้นตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้เปิดเผยคดีน้องชมพู่ ว่าด้วยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ ได้หายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านของ น.ส.จุไรภรณ์ สุขพันธุ์ หรือน้าต่าย ซึ่งเป็นบ้านที่ติดกับบ้านของน้องชมพู่ น.ส.สาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดา ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร พร้อมได้ระดมกำลังช่วยกันค้นหา จนกระทั่งต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 19.00 น.จึงได้พบศพน้องชมพู่ ในสภาพนอนเปลือยอยู่บนภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีสะเทือนขวัญ และเป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศ

ทาง ตร.ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ที่ 336/2563 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2563 เพื่อคลี่คลายคดีนี้ ประกอบด้วย พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.อรรคพงศ์ พิมลศิริ รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.4 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์  ผบก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร  พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผบก.ปส.3  พ.ต.อ.กิตตพงษ์ จิตรคาม ผกก.3 บก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.วิจิตร บุญวรรณ  ผกก.สส.ภ.จว.มุกดาหาร พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 กก.สส.น. พ.ต.อ.เทพพนม สุวรรณรัตน์ ผกก.3 กก.สส.ภ.8 พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.1 กก.สส.ภ.1 พ.ต.ท.สุริยา นภกรีกำแหง สวญ.สภ.กกดตูม พ.ต.ท.เจด็จ ปรีพูล รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองมุกดาหาร

หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยได้มีการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยสัมภาษณ์บุคคล จำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไว้แล้ว จำนวน 31 ปาก รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นพยานวัตถุจากจุดเกิดเหตุที่น้องชมพู่ถูกนำตัวไป เส้นทางที่เชื่อว่าเป็นเส้นทางการก่อเหตุ ไปจนถึงจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ รวมจำนวน 113 ชิ้น พยานวัตถุจากกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัย หรือผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 166 ตัวอย่าง แล้วดำเนินการส่งตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบ ตลอดจนพยานหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลโซเชียลมีเดีย ข้อมูลการให้สัมภาษณ์ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต้องสงสัย ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินผลไว้เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งผลจากการรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า

1.) การหายตัวไปนั้นอยู่ใน ช่วงเวลาระหว่าง 09.11-09.49 น.สรุป มีช่วงเวลาที่คนร้ายสามารถเข้าไปก่อเหตุ เพียง 38 นาที

2.) วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 19.00 น.ได้พบศพน้องชมพู่อยู่บนภูเหล็กไฟ สภาพศพถูกคนร้ายถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีดหรือของมีคมด้านเดียว สับฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่

3.) จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์นิติเวช สันนิษฐานสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่าเสียชีวิตในห้วงเวลาระหว่างวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.จากการขาดน้ำขาดอาหาร ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้

และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้แถลงสรุปผลว่า น้องชมพู่ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไปด้วยเหตุผล 8 ประการ คือ

1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ โดยข้อเท็จจริง ตัวน้องชมพู่ อายุ 3 ปี 2 เดือน สูง 55 เซ็นติเมตร น้ำหนัก 11 กิโลกรัม ไม่กล้าขึ้นบันไดบ้านซึ่งมีความชัน 45 องศา เตียงกับแคร่หน้าบ้าน ก็ไม่สามารถปีนขึ้นได้

2.พลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่น้องชมพู่ รับประทานเป็นมื้อสุดท้ายไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอให้เดินไปถึงจึงพบศพได้

3.ประสบการณ์ชาวบ้าน ได้ยืนยันว่าหากเด็กหลงทางจะสามารถไปถึงได้เพียงชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น

4.กรณีศึกษา จากการหายตัวไปของชาวบ้านกกตูมซึ่งระยะทางไกลกว่าน้องชมพู่ ยังสามารถหาพบภายใน 1 คืน

5.ผู้ชำนาญการยืนยัน แพทย์นิติเวชผู้ทำการผ่าชันสูตรซึ่งเดินจำลองเส้นทางแล้ว ยืนยันว่าไม่น่าจะสามารถไปถึงจุดพบศพได้ และกุมารแพทย์ยืนยันว่าพัฒนาการของน้องชมพู่ ไม่สามารถเดินไปถึงจุดพบศพเองได้

6.สภาพศพ ตอนที่พบศพน้องชมพู่ สภาพเปลือยกาย ซึ่งน้องชมพู่ยังสวม และถอดเสื้อด้วยตนเองไม่ได้

7.พยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานพบเส้นผมของน้องชมพู่ ถูกตัดด้วยของมีคนด้านเดียว น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น

8.นิสัยส่วนตัว น้องชมพู่ ที่กลัวป่าทึบ ไม่กล้าเข้าในสวนยางพารา เคยเล่นแถวไร่มันสำปะหลังเท่านั้น

และในวันนี้การรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งได้สรุปได้ว่า

1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ จะสามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว

2.ช่วงเวลาที่น้องชมพู่ หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่ จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที

3.บริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ พบรองเท้า รถแมคโค ของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่ เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่น หรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

จากทั้ง 3 ประเด็นนี้ มีพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคลที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ พยานผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น นักจิตวิทยา นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ สุนัขดมกลิ่น เป็นต้น ประกอบการจำลองเหตุการณ์โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ผลการตรวจชันสูตรศพ ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ยืนยันได้ว่า นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล เป็นบุคคลที่พาตัวน้องชมพู่ ไปจากบ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางไปรับส่งพระด้วยกัน ระหว่างเดินทางไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถพาน้องชมพู่ไปด้วยได้ จึงนำตัวน้องชมพู่ ซึ่งเชื่อว่าหมดสติ ไปซุกซ่อนไว้บริเวณป่าท้ายหมู่บ้าน แล้วจึงเดินทางไปรับพระ

เมื่อพบกับพระจึงเล่าเรื่องราวน้องชมพู่หายให้พระฟังในทันทีทันใด ทั้งที่ยังไม่มีผู้ใดทราบเหตุดังกล่าว เมื่อเสร็จธุระ นายไชย์พลจึงย้อนกลับมา และพบว่าน้องชมพู่ ยังไม่เสียชีวิต จึงนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่เสียชีวิต จากการขาดน้ำ และขาดอาหารในเวลาต่อมา จากนั้นได้เข้าจัดการกับสภาพศพโดยถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และใช้มีด หรือของมีคมด้านเดียว สับ ฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่ นำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามความเชื่อของตน

ซึ่งจากการตรวจค้นรถยนต์ของนายไชย์พล พบวัตถุพยานต้องสงสัยบางอย่างตกหล่นอยู่ภายในรถยนต์ ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้ว่า วัตถุพยานดังกล่าว เป็นสิ่งของที่มาจากศพของน้องชมพู่หลังจากที่เสียชีวิตแล้ว จึงเชื่อว่านายไชย์พลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการสภาพศพ และสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบศพดังกล่าว เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการสืบสวน และปกปิดร่องรอยพยานหลักฐาน เพราะหากนายไชย์พลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ย่อมไม่พบหลักฐานดังกล่าวภายในรถยนต์ของตนแต่อย่างใด

พนักงานสอบสวน จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ในความผิดฐาน พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้น ปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งศาลจังหวัดมุกดาหารได้อนุมัติให้จับตัวนายไชย์พล หรือลุงพล วิภา ตามหมายจับศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ จ.53/2564 ลงวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ในความผิดฐานดังกล่าวข้างต้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดตามหลักการวิชาการ และมาตรฐานสากลโดยยึดหลักการรวบรวมพยานหลักฐานตามหลักกฎหมาย หลักนิติวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นแล้ว ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจว่า

“ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนใดในประเทศไทย จะเป็นชนชั้นใดในสังคม ขอให้รับรู้ไว้ว่ากระบวนการยุติธรรมไทย จะอยู่เคียงข้างท่าน และช่วยท่านเสมอ ในการอำนวยความยุติธรรมอย่างมีอย่างคุณธรรม ตามหลักมาตรฐานสากล ผู้กระทำผิดย่อมต้องได้รับการลงโทษ ไม่มีใครหนีพ้น กฎแห่งกรรม”

ขอบคุณที่มาข่าวมติชนออนไลน์
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2754398